จิตบำบัดแบบ Brainspotting และ จิตบำบัดแบบ EMDR อันไหนเหมาะกับเรา?

194 จำนวนผู้เข้าชม  | 

จิตบำบัดแบบ Brainspotting และ จิตบำบัดแบบ EMDR อันไหนเหมาะกับเรา?

จิตบำบัดแบบ Brainspotting กับ จิตบำบัดแบบ EMDR

ดร.มฤษฎ์ แก้วจินดา (Ph.D.)
นักจิตวิทยาการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
EMDR Psychotherapy Supervisor and Brainspotting Psychotherapy Practictioner

Brainspotting (BSP) และ EMDR (Eye Movement Desensitization and Reprocessing) เป็นการบำบัดที่ใช้ในการบำบัดปมค้างใจ หรือบาดแผลทางใจ (Trauma) ซึ่งมีความคล้ายกันตรงที่ช่วยให้สมองประมวลผลและทำงานกับประสบการณ์ด้านลบเหล่านั้นให้บูรณาการเป็นส่วนหนึ่งของบุคคล แต่ความต่างอยู่ที่วิธีการและประสบการณ์การรับรู้ระหว่างดำเนินการ

ตารางเปรียบเทียบแบบเข้าใจง่าย



 

Brainspotting (BSP) และ Eye Movement Desensitization and Reprocessing (EMDR)

เป็นจิตบำบัด ที่มุ่งเน้นไปที่การจัดการบำบัดเกี่ยวกับปมบาดแผลทางใจ (Trauma) ทั้งคู่ ส่วนจิตบำบัดแบบไหนจะเหมาะกว่ากันขึ้นอยู่กับลักษณะความซับซ้อนของประเด็นปัญหา ความสามารถในการจัดการปัญหาและความรุนแรงจากปมเหล่านั้นของแต่ละคน  ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตบำบัดบางท่านอาจได้รับการฝึกอบรมการบำบัดมาทั้งสองแบบ ดังนั้นสามารถเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้มารับบำบัด โดยผู้เชี่ยวชาญอาจนำเอาทั้งสองเทคนิควิธีของ EMDR therapy และ Brainspotting therapy มาผสมผสานตามความเหมาะสมและจำเป็นในผู้ป่วยแต่ละคนเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีกว่าและปลอดภัยกว่า  อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญคือความรู้สึกปลอดภัยและความเชื่อมั่นในนักบำบัด เพราะความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับนักบำบัดมักส่งผลต่อผลลัพธ์เป็นอย่างมากต่อการทำจิตบำบัด

 


จิตบำบัดแบบ Brainspotting และ จิตบำบัดแบบ EMDR อันไหนเหมาะกับเรา?

หากเรายังไม่ชัดเจนว่าวิธีบำบัดไหนที่เหมาะกับเราที่สุดอาจใช้แนวทางดังต่อไปนี้เป็นตัวพิจารณาได้

วิธีพิจารณาเลือกวิธีบำบัด: EMDR หรือ Brainspotting

ขั้นที่ 1: ดูลักษณะอาการหลักที่รบกวนคุณ

PTSD ชัดเจนจากเหตุการณ์เดียว (เช่น อุบัติเหตุ, เหตุการณ์รุนแรง) → EMDR มักได้ผลเร็วเพราะมีโครงสร้างในกระบวนการบำบัดชัดเจน
บาดแผลทางใจเรื้อรังหรือซับซ้อน (เช่น childhood trauma และ ความรู้สึกฝังลึกที่ไม่รู้ที่มา) → Brainspotting ช่วยให้เข้าถึงความทรงจำที่ยังไม่ชัดเจน
มีอาการทางกายร่วม (เช่น อาการปวดเรื้อรัง ความอึดอัดในร่างกายเวลานึกถึงมัน) → Brainspotting อาจช่วยได้ดีกว่าเพราะเน้นการประมวลผลผ่านร่างกาย ในขณะที่ EMDR มีการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสในร่างกาย และทำงานกับอาการทางกายด้วย
ต้องการลดความกลัว/ความกังวลเฉพาะจุด (เช่น กลัวการขึ้นเวทีไปอยู่หน้าผู้คน การสอบที่กดดดัน การสัมภาษณ์ เป็นต้น) → ใช้ได้ทั้งสอง แต่ EMDR ใช้กระบวนการทำงานในการช่วยได้เร็วกว่าในบางกรณี


ขั้นที่ 2: ดูสไตล์การทำงานที่คุณสบายใจ

ชอบ ขั้นตอนชัดเจน รู้ว่าต้องทำอะไรในแต่ละช่วง → EMDR
ชอบให้การบำบัดไหลไปตามความรู้สึก ไม่มีกรอบตายตัว → Brainspotting
พูดเล่าประสบการณ์สั้นๆ ถึงการรับรู้ ณ ปัจจุบันขณะต่อความทรงจำนั้น → EMDR
พูดและเล่าเหตุการณ์ พร้อมกับการทำเทคนิค → Brainspotting
ชอบ โฟกัสความรู้สึกในร่างกายและอารมณ์ โดยไม่ต้องเล่าละเอียด → EMDR & Brainspotting


ขั้นที่ 3: ดูความเข้มข้นทางอารมณ์ที่คุณรับได้

  • รับได้ถ้าระหว่างทำมี อารมณ์เข้มข้นรุนแรงขึ้นแรง  แล้วค่อยคลายลง → EMDR
  • อยากให้การประมวลผล ค่อย ๆ ซึมลึกและอ่อนโยนกว่า → Brainspotting



นอกจากนี้คุณยังสามารถพูดคุยสอบถามผู้เชี่ยวชาญด้านจิตบำบัดโดยตรงได้หากยังลังเลระหว่าง EMDR กับ Brainspotting ว่าแบบไหนเหมาะกับเราผู้เชี่ยวชาญจะมี check list ในการพิจารณาเทคนิควิธีที่เหมาะสมให้กับเรา หากผู้เชี่ยวชาญได้รับการฝึกอบรมด้านจิตบำบัดทั้ง EMDR และ Brainspotting therapy เป็นข้อได้เปรียบในการช่วยให้เราได้มีประสบการณ์ทั้งสองแบบวิธีที่เหมาะสม สามารถปรับ และยืดหยุ่นทำให้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางการบำบัดรักษาให้ได้ผลดีมากยิ่งขึ้นได้

อย่างไรก็ตามจิตบำบัดทั้ง 2 แบบ EMDR และ Brainspotting ควรได้รับการทำการบำบัดจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ผ่านการฝึกอบรมจากสถาบันที่เป็นที่ยอมรับ

 



เหตุผลที่ EMDR และ Brainspotting ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น มีทั้งเรื่องความปลอดภัย เทคนิคเฉพาะ และการดูแลหลังการบำบัด โดยสังเกตจากปัจจัยดังนี้

1. ความปลอดภัยทางอารมณ์และจิตใจ

ทั้งสองเทคนิควิธีสามารถกระตุ้นความทรงจำด้านลบ (trauma) ให้รุนแรงมาก ๆ ขึ้นมาแบบไม่คาดคิด
ถ้าทำโดยคนไม่มีทักษะ อาจทำให้ผู้รับการบำบัด จมอยู่ในอารมณ์ (emotional flooding) และไม่สามารถกลับสู่ภาวะปกติได้
นักบำบัดที่ผ่านการอบรมรู้วิธี “ปิด session” ให้ผู้รับกลับมาสงบก่อนจบ


2. เทคนิคซับซ้อนที่ต้องฝึกจริง

  • EMDR: ต้องรู้วิธีการกระตุ้นสมองด้วย bilateral stimulation, การตั้งจังหวะ, การนำเข้าสู่ขั้นตอนต่าง ๆ และการหยุดเมื่อผู้รับรู้สึกหนักเกินไป
  • Brainspotting: ต้องรู้วิธีหา brainspot ที่แม่น, อ่าน micro-expressions และสัญญาณจากร่างกาย, ปรับกระบวนการให้เหมาะกับแต่ละบุคคล
  • ถ้าทำผิดวิธี อาจ ไม่เกิดการประมวลผล หรือทำให้ความรู้สึกติดค้างส่งผลย้อนกลับมาหนักกว่าเดิม

3. การประเมินและเตรียมความพร้อม

  • นักบำบัดที่มีประสบการณ์จะประเมินก่อนว่า ผู้รับพร้อมทำ trauma processing หรือยัง
  • บางคนต้องทำ การเสริมทรัพยากร (resource building) หรือการสร้างความมั่นคงทางอารมณ์ก่อน จึงค่อยเข้าสู่การประมวลผล

4. การดูแลหลังการบำบัด

  • หลังทำ EMDR หรือ Brainspotting อาจมี ฝัน ภาพย้อนอดีต (flashback)  หรืออารมณ์แปรปรวน หลังชั่วโมงบำบัดและอาจนานไปถึงวันถัดไปได้
  • ผู้เชี่ยวชาญจะให้วิธีรับมือและติดตามอาการ เพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนซ้ำ


สรุป: การจิตบำบัดแบบ EMDR และแบบ Brainspotting ด้วยตัวเอง หรือทำกับผู้ที่ไม่ได้รับการอบรม ไม่เพียงแต่เสี่ยงต่อการไม่เห็นผล แต่ยังอาจทำให้อาการแย่ลง หรือกระตุ้น trauma ให้ส่งผลกระทบรุนแรงกว่าเดิม

 



การมารับบำบัดด้านจิตบำบัดแบบ EMDR และแบบ Brainspotting เราสามารถเพิ่มความปลอดภัยและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำบำบัดได้ดีมากยิ่งขึ้นหากรู้เคล็ดลับด้านการเตรียมความพร้อมโดยใช้คู่มือดังนี้

คู่มือความปลอดภัย: EMDR & Brainspotting

1. ก่อนการบำบัด

  • เตรียมตัวทางจิตใจและร่างกาย
  • เลือกนักบำบัดที่ ผ่านการอบรมและได้รับการรับรอง ในเทคนิคที่เลือก
  • บอกประวัติอาการรบกวนที่เป็นผลจาก Trauma ปัญหาสุขภาพจิต/ร่างกาย และการใช้ยาจิตเวช
  • เตรียมใจว่าอาจมีอารมณ์รุนแรงหรือความทรงจำเก่าโผล่ขึ้นมา
  • ฝึกเทคนิคผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึก grounding (เช่น จับวัตถุรอบตัวเพื่อรู้ว่าตัวเองอยู่ในปัจจุบัน)
  • ตั้งเป้าหมายของการบำบัดให้ชัด เช่น ลดภาพย้อนอดีต (flashback)  ลดความกลัว  หรือปล่อยวางความทรงจำ)

2. ระหว่างการบำบัด

สิ่งที่ควรทำ

  • สื่อสารกับนักบำบัดตลอด ถ้ารู้สึกหนักเกินไปให้บอกทันที
  • โฟกัสตามคำแนะนำของนักบำบัด (eye movement, brainspot, tapping ฯลฯ)
  • ถ้าอารมณ์ท่วมท้น ให้ส่งสัญญาณหยุดตามที่ตกลงไว้กับนักบำบัด
  • สังเกตสัญญาณร่างกาย เช่น หายใจเร็ว  กล้ามเนื้อเกร็ง — บอกนักบำบัดเพื่อปรับความเข้มข้น
  • ให้ตัวเองอยู่กับความรู้สึกโดยไม่ตัดสินว่าดีหรือแย่


3. หลังการบำบัด

  • ดูแลตัวเองเพื่อลดผลข้างเคียง
  • ดื่มน้ำมากพอ พักผ่อนเพียงพอ เพราะสมองใช้พลังงานในการประมวลผลอาจเกิดความฝันชัดเจน ภาพย้อนอดีต (flashback) หรืออารมณ์แปรปรวน อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอาการในช่วง 24–72 ชั่วโมงนั้นเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้
  • ใช้เทคนิค grounding หรือหายใจลึกถ้ารู้สึกกระสับกระส่าย
  • จดบันทึกความรู้สึกและความคิดที่เกิดขึ้น เพื่อเล่าให้ นักบำบัด/ผู้เชี่ยวชาญฟังในชั่วโมงบำบัดครั้งต่อไป
  • หลีกเลี่ยงการทำสิ่งที่กดดันสูงหรืออารมณ์หนักในวันเดียวกัน
  • ถ้ามีอาการรุนแรง เช่น panic attack  ความคิดทำร้ายตัวเอง  หรืออารมณ์ไม่กลับสู่ปกติ ให้ติดต่อผู้เชี่ยวชาญทันที

 


เคล็ดลับเสริมความมั่นคงทางจิตใจ และความปลอดภัย

  • ทำในช่วงเวลาที่คุณไม่มีภาระหนักหลัง session
  • ใส่ใจกับ “การปิดชั่วโมงบำบัด” (closure) ให้ตัวเองรู้สึก grounded และกลับสู่ปัจจุบัน
  • จัดให้มี “สิ่งที่ทำให้สบายใจ” หลัง session เช่น ฟังดนตรีเบาๆ  เดินเล่น  หรืออยู่กับคนที่รู้สึกปลอดภัย


หากสนใจการทำจิตบำบัดแบบ EMDR และแบบ Brainspotting สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ของBetter Mind ได้ทางLine: bettermind.th หรือ ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากเวปไซต์ www.bettermindthailand.com

 

บทเสริมENGLISH LANGUAGE ด้านล่าง



Brainspotting (BSP) VS EMDR (Eye Movement Desensitization and Reprocessing)


Brainspotting (BSP) and EMDR (Eye Movement Desensitization and Reprocessing) are both trauma-focused therapies, but “better” depends heavily on the person, the type of trauma, and how you respond to different approaches.

Here’s a clear comparison:



In short:

If you want a highly researched, structured approach with strong track records for PTSD, EMDR might be the first choice.
If you prefer a more body-based, less structured, and potentially gentler approach, Brainspotting may be more comfortable.


Some therapists are trained in both and will integrate them depending on your needs. The “better” one is usually the one you feel safer and more engaged with — the therapeutic relationship often matters more than the specific technique.

If you are interested in EMDR and Brainspotting therapy,  you can talk to our professional psychotherapist on how to decide based on your symptoms and comfort level or you can bring a more informed question to our therapists. That way, you won’t just pick one — you’ll know why it fits you.

 



Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้