EMDR ช่วยบำบัดบาดแผลทางใจของการถูกทอดทิ้งในวัยเด็กได้อย่างไร

109 จำนวนผู้เข้าชม  | 

EMDR ช่วยบำบัดบาดแผลทางใจของการถูกทอดทิ้งในวัยเด็กได้อย่างไร

EMDR ช่วยบำบัดบาดแผลทางใจของการถูกทอดทิ้งในวัยเด็กได้อย่างไร?

 

ดร.มฤษฎ์ แก้วจินดา (Ph.D.)
นักจิตวิทยาการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
EMDR Psychotherapy Supervisor and Brainspotting Psychotherapy Practictioner

Eye Movement Desensitization and Reprocessing (EMDR) เป็นการทำจิตบำบัดที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาปมค้างใจ หรือบาดแผลทางใจ (trauma) โดยเฉพาะประสบการณ์ที่ฝังลึกในความทรงจำ ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงต้นๆ ของชีวิต เช่น การถูกทอดทิ้ง (abandonment) ซึ่งจัดอยู่ในประเภทของประสบการณ์ด้านลบที่มีผลต่อพัฒนาการ (developmental trauma)

 

EMDR ช่วยรักษาบาดแผลจากการถูกทอดทิ้งในวัยเด็กได้อย่างไร?

1. EMDR เข้าถึงและประมวลผลความทรงจำบาดแผล

ประสบการณ์การถูกทอดทิ้งมักถูกเก็บในความทรงจำแบบฝังลึกโดยไม่รู้ตัว (Implicit Memory) EMDR ช่วยให้ผู้รับการบำบัด “เข้าถึง” ความทรงจำบาดแผลนั้น โดยไม่จำเป็นต้องเล่าอย่างละเอียด การกระตุ้นสมองสองด้าน (bilateral stimulation) เช่น การเคลื่อนไหวของตา หรือเสียงซ้าย-ขวา ช่วยให้สมอง "ประมวลผลใหม่" (reprocess) และลดความไวต่ออารมณ์ลบที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น

2. EMDR ช่วยลดความเชื่อของตนเองที่เกิดจากการถูกทอดทิ้ง

เด็กที่ถูกทอดทิ้งมักเติบโตมาพร้อมกับ core negative beliefs เช่น
“ฉันไม่สำคัญ”
“ไม่มีใครรักฉัน”
“ฉันถูกทิ้งเพราะฉันไม่ดีพอ”
EMDR ใช้เทคนิค Installation Phase ในการปลูกฝัง ความเชื่อใหม่ที่เป็นบวก เช่น
“ฉันมีคุณค่า”
“ฉันสามารถดูแลตัวเองได้”
“ฉันคู่ควรกับความรักและการดูแล”

3. EMDR ช่วยเยียวยาความรู้สึกของการขาดความปลอดภัย

เด็กที่ถูกทอดทิ้งมักขาดความผูกพันต่อบุคคล (attachment figure) ที่มั่นคง จึงพัฒนาเป็นรูปแบบความผูกพันที่ไม่ปลอดภัย (insecure attachment)
จิตบำบัดแบบ EMDR ช่วยให้ผู้รับการบำบัดได้ตระหนักถึงและรับรู้ถึงอารมณ์ที่ยังค้างคา เช่น ความกลัว ความเศร้า ความโกรธ ผ่านกระบวนการบำบัด ผู้รับการบำบัดจะรู้สึก “ปลอดภัย” กับความรู้สึกเหล่านั้นมากขึ้น

4. จิตบำบัดแบบ EMDR ช่วยเปลี่ยนรูปแบบความสัมพันธ์ในปัจจุบัน

บาดแผลจากการถูกทอดทิ้งอาจส่งผลให้ผู้ใหญ่มีปัญหาในความสัมพันธ์ เช่น กลัวการถูกทิ้งอีกครั้ง (abandonment fear) การพึ่งพิงผู้อื่นมากเกินไป หรือการผลักไสคนใกล้ตัว จิตบำบัดแบบ EMDR ช่วยทำให้ความรู้สึกเหล่านี้ ไม่สามารถมีอิทธิพลกับชีวิตในปัจจุบันได้ อีกต่อไป ส่งผลให้ผู้รับการบำบัดสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่มีสุขภาพดีขึ้นได้

 

 

ขั้นตอนการประเมินและวางแผนบำบัดด้วย EMDR therapyจากบาดแผลทางใจของการถูกทอดทิ้ง

(EMDR Assessment & Treatment Planning for Abandonment Trauma)

  • ประเมินอาการและสร้างแผนการบำบัด (Assessment & Treatment Planning)
  • เสริมสร้างทักษะการควบคุมอารมณ์ เช่น Safe Place หรือ Resource Development
  • นำความทรงจำบาดแผลที่เกี่ยวกับ abandonment มาใช้ในการ Desensitization
  • ปลูกฝัง Positive Belief ใหม่
  • ประเมินความคืบหน้าและเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน

 

 1. การเก็บข้อมูลเบื้องต้น (History Taking)

รวบรวมข้อมูลประวัติชีวิตที่สำคัญ เช่น:

  • ความสัมพันธ์กับพ่อแม่หรือผู้ดูแล
  • ช่วงเวลาที่รู้สึกโดดเดี่ยว, ไม่ได้รับความสนใจ, ถูกทอดทิ้งทางกาย/อารมณ์
  • เหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกับการสูญเสีย การเปลี่ยนแปลงครอบครัว หรือการถูกแยกจากผู้ดูแล

2. ประเมินอาการในปัจจุบัน (Presenting Symptoms)

อาการที่เกี่ยวข้องมักพบ ได้แก่:

  • ความรู้สึกไม่มั่นคงในความสัมพันธ์
  • กลัวการถูกทอดทิ้งซ้ำ
  • ความรู้สึกว่าตนเอง “ไม่มีคุณค่า”  “ไม่มีใครรัก”
  • อาการซึมเศร้า วิตกกังวล หลีกหนีความใกล้ชิด (avoidance)

3. ระบุเป้าหมายในการบำบัด (Target Selection)

เลือกเหตุการณ์บาดแผลที่เกี่ยวข้องกับ abandonment โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่:

  • มีผลต่อ self-worth และความผูกพัน
  • เป็น “first” memory of being left, ignored, or unloved
  • ถูกกระตุ้นซ้ำในความสัมพันธ์ปัจจุบัน

4. ประเมินความเชื่อเชิงลบ (Negative Cognitions)

ตัวอย่างความเชื่อเชิงลบจากการถูกทอดทิ้ง:

  • “ฉันไม่คู่ควรกับความรัก”
  • “ฉันจะถูกทิ้งเสมอ”
  • “ฉันไร้ความหมาย”
จากนั้นระบุ Positive Cognition (PC) ที่อยากติดตั้งแทน เช่น:
  • “ฉันคู่ควรกับความรัก”
  • “ฉันมีคุณค่าในตัวเอง”
  • “วันนี้ฉันเลือกดูแลตัวเอง”

5. วางแผนการบำบัด (Treatment Plan Design)


กำหนดลำดับของเหตุการณ์ (Target Sequence Plan) เช่น:

  • เหตุการณ์ abandonment ที่เกิดในวัยเด็ก (เช่น ตอนพ่อแม่หย่าร้าง ถูกฝากไว้กับญาติ)
  • เหตุการณ์ในวัยรุ่นที่กระตุ้นซ้ำ (เช่น การถูกแฟนทิ้ง ถูกเพื่อนแยก)
  • เหตุการณ์ในปัจจุบันที่สะท้อน pattern เดิม


การบำบัดจะใช้ EMDR Protocol 8 ขั้นตอนอย่างครบถ้วน:
1.    ประเมิน
2.    เตรียมตัว
3.    ประเมินเป้าหมาย
4.    Desensitization
5.    Installation
6.    Body Scan
7.    ปิดการบำบัด
8.    ประเมินในครั้งถัดไป

 



EMDR ช่วยลดอาการ PTSD จากการถูกทอดทิ้งได้อย่างไร?

1. ทำให้สมอง “ปรับรูปแบบมุมมองใหม่” ต่อความทรงจำที่ทำให้เจ็บปวด

  • EMDR ใช้การกระตุ้นแบบสองด้าน (bilateral stimulation) เช่น การเคลื่อนไหวตา เพื่อช่วยให้สมองดึงข้อมูลบาดแผลจากระบบความจำระยะยาว (trauma memory) เข้ามาแปรรูปในระบบที่ปลอดภัยกว่า
  • ทำให้ผู้รับการบำบัด “รู้สึกถึงเหตุการณ์” โดยไม่ถูกอารมณ์นั้นควบคุมอีกต่อไป
  • ผลทางประสาทวิทยา: ลดการทำงานของ amygdala (ศูนย์ความกลัว) และเพิ่มกิจกรรมใน prefrontal cortex (เหตุผลและการควบคุมตนเอง)

 

2. เปลี่ยนความเชื่อจำกัดเกี่ยวกับตัวเอง

  • จาก “ฉันไม่ดีพอ” → “ฉันคู่ควรกับความรัก”
  • จาก “ฉันโดดเดี่ยว” → “วันนี้ฉันไม่อยู่คนเดียว”
  • จิตบำบัดแบบ EMDR ช่วยให้เกิดมุมมองด้านบวก (Positive Cognition) ผ่าน Installation Phase จนผู้รับการบำบัด “รู้สึกจริง” ว่าความเชื่อนั้นเป็นจริง
     

งานวิจัยของ Shapiro (2001) รายงานว่าผู้ที่เคยถูกทอดทิ้งรู้สึก การรับรู้คุณค่าในตนเอง (self-worth) เพิ่มขึ้น และอาการถูกกระตุ้นลดลง หลังจบการบำบัดแบบ EMDR

 

3. ลดอาการที่เกิดขึ้นซ้ำซ้อน เช่น flashback การถูกกระตุ้นจาก triggers ในชีวิตประจำวัน

เมื่อความทรงจำบาดแผลได้รับการแก้ไขจะเกิดสิ่งนี้

  • Flashbacks และฝันร้ายจะลดลง
  • ความตื่นตัวผิดปกติ (hypervigilance) ลดลง
  • ความรู้สึกว่าตนเอง “กำลังถูกทอดทิ้งอีกครั้ง” จะเบาบางลง
    จิตบำบัดแบบ EMDR ทำให้ประสบการณ์เจ็บปวด “จากอดีต” ไม่ใช่ “กำลังเกิดขึ้นตอนนี้” อีกต่อไป

4. ช่วยให้สร้างความสัมพันธ์ที่ปลอดภัยได้จริง
  • PTSD จาก abandonment ทำให้ผู้ใหญ่หลายคนกลัวความใกล้ชิด หรือมีพฤติกรรมผลักคนอื่นออก (push-pull)
  • เมื่อจิตบำบัดแบบ EMDR ลดบาดแผลในระบบประสาท ผู้รับการบำบัดสามารถสร้างความสัมพันธ์ใหม่ที่มั่นคงขึ้น

 

 

เหตุผลที่จิตบำบัดแบบ EMDR ทำให้ผู้รับการบำบัด “รู้สึกปลอดภัย” กับความรู้สึกเดิมมากขึ้น มี 4 ประเด็นสำคัญ:

 

1. จิตบำบัดแบบ EMDR แยก "อารมณ์เจ็บปวด" ออกจาก "ปัจจุบัน"

ในคนที่มีบาดแผลจาก trauma สมองมักจะตีความว่า เหตุการณ์ในอดีตยังคงเกิดอยู่ตอนนี้ (เช่น รู้สึกเหมือนยังถูกทิ้งอยู่ทุกครั้งที่คู่รักหายไป) แต่ EMDR ช่วยให้สมอง จัดระเบียบใหม่ (reprocess) โดยส่งข้อความว่า
“เหตุการณ์นั้นเป็นอดีตไปแล้ว และฉันปลอดภัยในปัจจุบันนี้”
เมื่ออารมณ์เชิงลบถูกวางไว้ใน "บริบทของอดีต" ผู้รับการบำบัดจึงเริ่มรู้สึกปลอดภัยกับการระลึกถึงมัน — โดยไม่ถูกกลืนโดยความกลัวหรือเจ็บปวดอีกต่อไป

2. Bilateral Stimulation ช่วยลดการตอบสนองจากระบบประสาทภัยคุกคาม และช่วยเพิ่มการรับรู้กับปัจจุบันขณะมากขึ้น

ระหว่างจิตบำบัดแบบ EMDR ผู้รับการบำบัดจะเคลื่อนไหวตา (Eye movement) หรือรับสัมผัส (Tapping) หรือด้วยเสียง (tone) สลับซ้าย-ขวา
การกระตุ้นสมองสองด้านนี้ช่วย:

  • ลดกิจกรรมของ amygdala (ศูนย์ประมวลความกลัว)
  • เพิ่มการทำงานของ prefrontal cortex (เหตุผล ความมั่นคงทางอารมณ์)
  • ส่งผลให้: ความรู้สึกเจ็บปวดเดิม “เบาลง” อย่างอัตโนมัติ และระบบประสาทเริ่มเรียนรู้ว่า “มันไม่อันตรายอีกต่อไป”

 3. EMDR สร้าง “การเผชิญหน้าแบบปลอดภัย” (Safe Exposure)

ในแต่ละรอบของ EMDR ผู้รับการบำบัดจะสัมผัสกับความรู้สึกเดิมอีกครั้ง (fear, sadness, shame) — แต่ภายใต้เงื่อนไขที่ควบคุมได้และปลอดภัย สิ่งนี้ต่างจาก flashback ตรงที่:
  • ผู้รับการบำบัด “รู้ว่าอยู่กับนักบำบัด”
  • พวกเขาสามารถหยุด พัก หรือติดตั้งความรู้สึกดีๆ ได้ตลอด
  • สมองจึงเรียนรู้ว่า “เราสามารถรับรู้ความรู้สึกพวกนี้ โดยไม่พังทลายหรือโดนกลืนอีกแล้ว”

 4. เกิดความมั่นคงภายใน (Internal safety)

เมื่อผ่านการบำบัดหลายรอบ:

  • ความรู้สึกว่า “ฉันจัดการตัวเองได้”
  • “ฉันผ่านความกลัวนั้นมาแล้ว”
  • “ฉันยังอยู่ตรงนี้ แม้มันจะเจ็บปวด”

ทั้งหมดนี้ค่อยๆ หลอมรวมเป็น “ความปลอดภัยจากภายใน” (Internal sense of safety) ซึ่งเป็นรากฐานของ self-worth และความสัมพันธ์ที่มั่นคง
 


 

เปรียบเทียบก่อน-หลังการทำ

บำบัดด้วย EMDR Therapy

ก่อนทำจิตบำบัด EMDR 

  • กลัวความรู้สึกของตัวเอง
  • ความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนยังเกิดขึ้นอยู่
  • หลีกเลี่ยงความทรงจำ
  • ขาดความรู้สึกปลอดภัย

    หลังทำจิตบำบัด EMDR
  • ยอมรับและอยู่กับมันได้
  • ความรู้สึกเจ็บปวดเห็นว่าเป็นอดีตที่ไม่คุกคามอีกแล้ว
  • กล้าพูดถึงและรู้สึกโดยไม่พังมีความมั่นคงภายในเพิ่มขึ้น
 

งานวิจัยที่สนับสนุนจิตบำบัดแบบ EMDR กับ relational trauma / childhood neglect ยกตัวอย่างบางส่วนดังนี้
  • Cloitre et al. (2010): ผู้หญิงที่เคยถูกทอดทิ้งหรือทารุณกรรมในวัยเด็ก ตอบสนองดีต่อ EMDR และสามารถพัฒนาทักษะ self-regulation ได้ดีขึ้น
  • van der Kolk (2014): EMDR เป็นหนึ่งในแนวทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับ trauma ซับซ้อน (complex trauma) โดยเฉพาะเมื่อ trauma มาจากความสัมพันธ์ในวัยเด็ก
  • EMDRIA (องค์กรรับรองการฝึก EMDR): ยอมรับว่า EMDR เหมาะสมสำหรับผู้ที่ประสบ attachment trauma หรือ developmental trauma ซึ่งมักมาจากการถูกทอดทิ้ง


บทสรุป

ทำไม EMDR จึงได้ผลกับการรักษาtrauma จากการถูกทอดทิ้ง

1. EMDR ช่วยปลดล็อกความรู้สึกติดค้างในสมอง
สมองมักจมอยู่ในความเชื่อเดิม เช่น “ไม่มีใครต้องการฉัน” EMDR ช่วยประมวลผลและปลดปล่อยความรู้สึกนั้น

2. EMDR เชื่อมโยงกับความจริงในปัจจุบัน
จากเดิมที่รู้สึก ยังติดอยู่ในอดีต ปต่EMDRช่วยทำให้สามารถรู้สึกได้ว่า “ฉันโตแล้ว ฉันมีอิสระ”ได้จริง

3. EMDR เสริมพลังภายใน (Resourcing)

ก่อนเข้าสู่บาดแผล EMDR จะเตรียม “พื้นที่ปลอดภัย” ในใจ ช่วยให้ผู้รับการบำบัดรู้สึกมีที่พักใจเมื่อกระทบอารมณ์รุนแรง

4. EMDR เปลี่ยน “ความเชื่อหลัก” (core belief)
จาก “ฉันไม่มีคุณค่า”  เป็น “ฉันคู่ควรกับความรัก” โดยที่ไม่ต้องใช้เหตุผลแต่เกิดจากความรู้สึกจริง


ข้อควรจำ

  • จิตบำบัดแบบ EMDR อาจใช้เวลา 8–20 ครั้ง ขึ้นอยู่กับ trauma และความซับซ้อนของแต่ละบุคคล
  • จิตบำบัด EMDR ต้องทำกับผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองจาก EMDRIA หรือ EMDR Europe
  • สำคัญมาก: ต้องมี “Safe Place” และ Resourcing ก่อนเข้าสู่บาดแผล


หากคุณลองผิดลองถูกกับการทำจิตบำบัดมาหลายวิธีแล้วยังไม่สามารถแก้ไขจัดการปมบาดแผลทางใจที่มีอยู่ได้ แนะนำให้เปิดใจลองกระบวนการบำบัดใจด้วยเทคนิคEMDR ที่มีประสิทธิภาพ ได้ผลและเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์และวงการจิตวิทยาและจิตบำบัดในระดับมาตรฐานสากล

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้