2446 จำนวนผู้เข้าชม |
Panic Attack
และ Anxiety Disorders
แตกต่างกันอย่างไร?
โดย ดร.มฤษฎ์ แก้วจินดา
นักจิตวิทยาการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ และนักจิตบำบัด
EMDR certified supervisor and Brainspotting Psychotherapist
Panic Attack และ Anxiety Disorders แตกต่างกันอย่างไร?
การทำความเข้าใจในความแตกต่างระหว่าง 2 โรคนี้จะช่วยให้เราสามารถดูแลสุขภาพจิตใจของเราให้ดียิ่งขึ้นได้
Panic Attack (โรคตื่นตระหนก)เป็นอาการหนึ่งหรือ ระดับขั้นหนึ่งของอาการที่อยู่ในโรค Anxiety Disorders (โรควิตกกังวล)
อาการของโรค panic attack มักจะไม่มีสัญญาณเตือนมาก่อน อาการที่ปรากฎเห็นได้ชัด เช่น ตัวชา เวียนหัว หน้ามืด หายใจไม่ทัน ตัวสั่น เหงื่อแตก ผู้ป่วยและคนใกล้ชิดควรสังเกตสัญญาณเตือนบางอย่างในคนที่มีภาวะ panic attack บ่อยๆ เพราะโรคนี้อาจนำไปสู่อาการที่เป็นมากขึ้นทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้อย่างมีความสุข
ข่าวดีคือในปัจจุบันทางสมาคมจิตวิทยาและจิตแพทย์ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกมายืนยันแล้วว่า โรค panic attack และ anxiety disorders นั้นสามารถรักษาได้หากผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยา
ดังนั้นหากเกิดความเจ็บป่วย หรือใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากและทุกข์ทรมานจากโรคดังกล่าวควรรีบปรึกษานักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการบำบัดที่ถูกต้องในลำดับต่อไปเพื่อให้ชีวิตได้กลับมามีความสุขอีกครั้ง
สาเหตุ
โรควิตกกังวล หรือ Anxiety Disorders มีหลายรูปแบบ และหลายสาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดทั้งจากประสบการณ์ในชีวิตและอื่นๆอีกมากมาย
บางครั้งในชีวิตคนเรานั้นเกิดความวิตกกังวลได้ ประสบการณ์ของความรู้สึกวิตกกังวล ตื่นตระหนกเป็นอารมณ์โดยธรรมชาติของมนุษย์แสดงถึงปฎิกิริยาที่ตอบสนองต่อการเอาตัวรอด
ความรู้สึกวิตกกังวล และกลัวนี้เป็นการส่งสัญญาณ ส่งข้อมูลบางอย่างให้เรา และทำให้เราระแวดระวังหรือมีการเตรียมตัวสำหรับรับมือกับความอันตรายบางอย่าง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการมีชีวิตรอด
แต่หากความวิตกกังวลนั้นไม่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หรือข้อมูลที่สมเหตุสมผล แต่เป็นจินตนาการที่สร้างความเครียด หรือ ความกลัวจนเกินกว่าเหตุจนทำให้เราพยายามหลีกหนีที่จะเผชิญหน้ากับมัน สร้างปัญหาและอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณบอกถึงการเป็นโรควิตกกังวลที่ควรต้องได้รับการแก้ไขจากผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเพื่อให้ชีวิตกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
อาการ
ความวิตกกังวลนั้นหากมีมากเกินความพอดี ผิดปกติจนกลายเป็นความวิตกจริต หรือรู้สึกตื่นตระหนกถึงขั้นทำให้เกิดความเครียดจนทำอะไรไม่ได้นั้น อาจเป็นสัญญาณที่บอกว่าการตอบสนองด้านอารมณ์ของเราอาจไม่แข็งแรงหรือไม่ปกติ จนเกิดเป็นโรควิตกกังวลได้
โรควิตกกังวลนี้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคนทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็ก วัยรุ่น หรือวัยผู้ใหญ่ก็ตาม เหตุการณ์ที่มักทำให้คนเกิดความวิตกกังวลมีมากมาย เช่น การเจ็บป่วยและต้องเข้ารับการรักษาทางการแพทย์ การพูดต่อหน้าสาธารณะ การเข้าสังคม กังวลเกี่ยวกับหน้าที่การงาน ความกังวลด้านความมั่นคงทางการเงิน และเหตุการณ์ดังกล่าวมักเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความวิตกกังวลจนเกิดเป็นความกลัว ตื่นตระหนก ระดับขั้นของความกังวลหากมีมากจนเกิดความเครียดก็ทำให้เกิดภาวะของโรค panic attack ตามมาได้
การรักษา
การรักษาอาการควรต้องเข้ารับการบำบัดให้ระดับความวิตกกังวลอยู่ภาวะที่ควบคุมได้ การหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัว และเป็นกังวลนั้นอาจช่วยทำให้ดีขึ้นได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่การเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัวอย่างเข้าใจจะเป็นการแก้ปัญหาได้ถาวรมากกว่า
ทั้ง panic attack and anxiety disorders นั้นสามารถแก้ไขและจัดการได้ หากต้องทุกข์ทรมานกับโรคนี้มานานก็ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ ควรรีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเพื่อได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง
โรควิตกกังวลในวัยรุ่นสำคัญอย่างไร?
วัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงมากมายทั้งด้านอารมณ์ ความรู้สึก ด้านร่างกาย และความไม่แน่นอนในชีวิต ปัจจัยที่เกี่ยวข้องอาจมีสาเหตุมาจากทั้งจากครอบครัว และ จากที่โรงเรียน เช่น ปัญหาด้านการเรียน การสอบ ปัญหาเพื่อน ถูกแฟนทิ้ง ความขัดแย้งกับคุณครู หรือ ผู้ใหญ่ในบ้าน ปัญหาการหย่าร้างของพ่อ-แม่ เกิดความเครียด วิตกกังวลเมื่อพ่อหรือแม่ตกงาน หรือ เกิดการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักอย่างกระทันหัน ทุกเหตุการณ์ล้วนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต
วัยรุ่นเป็นวัยที่ท้าทายมากที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตคนเรา และหากในชีวิตของวัยรุ่นมีพื้นฐานทางด้านจิตใจที่ไม่แข็งแรงซึ่งเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดู สภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่และเติบโตมารวมทั้งประสบการณ์ที่เคยผ่านพบมาจะส่งผลต่อการมองโลกในมุมมองของเขา และส่งผลต่อพฤติกรรมการแสดงออกทางด้านลบ
โรค Anxiety disorder นั้นเชื่อกันว่าสามารถส่งผ่านทางพันธุกรรมได้โดยสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติของสหรัฐได้ออกมาแชร์ข้อมูล
อาการของโรค Anxiety Disorders ในวัยรุ่นเป็นอย่างไร?
โรควิตกกังวล เป็นภาวะทางจิตที่ไม่ปกติประเภทหนึ่ง คนที่เป็นโรควิตกกังวลมักมีภาวะหวาดกลัว ตื่นตระหนก หรือ วิตกกังวล ระดับรุนแรงกว่าคนปกติ อาจมีปฎิกิริยาด้านร่างกาย เช่น หัวใจเต้นระรัว เหงื่อแตกพล่าน โรควิตกกังวลในวัยรุ่นที่รุนแรง อาจส่งผลต่อความเจ็บปวดด้านร่างกายอย่างรุนแรงด้วยเช่นกัน
อาการที่พบได้ทั่วไป เช่น กล้ามเนื้อเกร็ง เจ็บท้องน้อย ปวดหัว เจ็บซี่โคร ปวดหลัง มีความเปราะบางด้านอารมณ์และร่างกาย ปรับตัวลำบากเมื่อเริ่มเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วัยรุ่น
คงปฎิเสธไม่ได้ว่าปัญหาลูกวัยรุ่น เป็นเรื่องใหญ่ในครอบครัว คุณพ่อ-คุณแม่และผู้ปกครองไม่สามารถจะนิ่งนอนใจได้หากเกิดความผิดปกติขึ้นกับลูกวัยรุ่น
สาเหตุหรือประสบการณ์ของลูกวัยรุ่นที่ทำให้เกิดอาจโรควิตกกังวลอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุเช่น การสูญเสีย ภาวะซึมเศร้า เครียด วิตกกังวล เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในหลายๆเรื่อง ขาดคนเข้าใจ ขาดเพื่อนในการปรับทุกข์ สาเหตุต่างๆเหล่านี้อาจนำสู่ความเครียดและนำมาซึ่งความขัดแย้งในครอบครัว และอาจทำให้เก็บตัวไม่อยากเจอใครและอาจเป็นปัญหาที่ใหญ่บานปลายต่อไปได้ เช่น
· ปัญหายาเสพติด
· เกิดการต่อต้าน ไม่ให้ความร่วมมือ
· มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย
· ทำร้ายตัวเอง
· วิตกกังวล
· ภาวะซึมเศร้า
Anxiety disorders ในวัยรุ่นในแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน อาการกลัวมาก กังวลมาก หวาดระแวง หวาดกลัวมีระดับรุนแรงแตกต่างกัน ความวิตกกังวลอาจดูเป็นเรื่องที่ผู้ปกครองเห็นว่าธรรมดาทั่วไป อย่างเช่น ความกังวลเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา การเป็นที่ยอมรับในสังคม ความรู้สึกด้านอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไม่ปกติ ประเด็นความขัดแย้งต่อการใช้ชีวิต อยากหลีกหนีจากความกังวล อยากมีชีวิตอิสระ อยากเป็นตัวของตัวเอง หลีกเลี่ยงการร่วมกิจกรรมที่ทำให้ไม่สบายใจหรือกังวลใจ หลีกเลี่ยงการเรียนรู้ในประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆ เกิดการต่อต้านเมื่อต้องแยกห่างจากเพื่อน หรือพยายามที่จะปฎิเสธการมีส่วนร่วมที่ทำให้ตัวเองรู้สึกกังวลใจ
สิ่งที่ต้องระวังคือเรื่องการใช้สารเสพติด หรือ ภาวะเครียด ซึมเศร้า วิตกกังวลมากเกินจนนำไปสู่การฆ่าตัวตาย
ควรได้รับการแก้ไขอย่างไร?
โรค Anxiety disorders นั้นไม่สามารถหายไปเองได้ง่ายๆ ดังนั้นจึงควรไปพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการบำบัด นักจิตวิทยา หรือ จิตแพทย์อาจใช้เทคนิคทางจิตวิทยา เพื่อให้ร่ายกายและจิตใจได้กลับมาทำงานได้อย่างปกติและลดความกังวล ตื่นตระหนก หวาดระแวงด้วยเทคนิควิธีทางจิตวิตทยา หรือ จิตบำบัด
อย่างไรก็ตาม อาจนำวิธีเบื้องต้นนี้ไปปรับใช้ก่อนเข้ารับการบำบัดจากผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา นอกจากนี้ คุณพ่อ-คุณแม่ควรรับฟังหากลูกวัยรุ่นต้องการเล่าสิ่งที่เขากำลังหวาดกลัว หรือ เป็นกังวล และควรฟังอย่างตั้งใจและให้เกียรติลูกโดยไม่วิจารณ์ หรือขัดจังหวะจะเป็นการช่วยให้เขาได้ลดความกังวลลงได้ในระดับหนึ่ง และให้กำลังใจว่าสิ่งที่เขากังวลจะผ่านไปได้และประสบการณ์จะทำให้เขาแก้ปัญหาได้ดีขึ้นเมื่อโตขึ้น
คุณพ่อ-คุณแม่ ควรเข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่ลูกวัยรุ่นจะสามารถอธิบาย บอกเล่าถึงอารมณ์ ความรู้สึกที่ตนเผชิญอยู่ได้อย่างง่ายดายเพราะเขาไม่อยากทำให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองอ่อนแอ หากอาการกลัว ตื่นตระหนก หรือวิตกกังวลเป็นมากจนไม่สามารถทำกิจกรรมหรืองานต่างๆได้เป็นระยะเวลานาน หรือเกินกว่า 6 เดือน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือแนะนำให้ไปพบนักจิตวิทยา หรือ จิตแพทย์
โรค Anxiety disorders แบ่งเป็นหลายประเภทดังนี้
· โรควิตกกังวลทั่วไป ผู้ป่วยมักคิดถึงแต่เรื่องร้ายที่อาจเกิดขึ้นในทุกสถานการณ์ มีอาการด้านร่างกายร่วมด้วยเช่น ปวดหัว เจ็บหน้าอก ปวดท้อง อาเจียน
· ย้ำคิดย้ำทำ
· หวาดระแวง หวาดกลัว เช่น กลัวเครื่องบิน กลัวผู้คน
· กลัวสังคม กลัวการพูดกับคนอื่น เป็นมากในวัยรุ่น
· Panic attacks เป็นรูปแบบหนึ่งของโรควิตกกังวล ซึ่งจะมีอาการหายใจไม่ทัน หน้ามืด ตัวชาร่วมด้วย ทำให้ผู้ป่วยกลัวการออกไปข้างนอก
· ความเครียดหลังจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ หรือ PTSD ( Post Traumatic stress disorder)
การรักษาโรคanxiety disorders สามารถรักษาได้ด้วยการทำบำบัดทางจิตวิทยา ซึ่งมีหลากหลายวิธี เช่น ผู้เชี่ยวชาญบางท่านอาจใช้วิธีจิตบำบัด Cognitive Behavioral Therapy (CBT) และ Cognitive Restructuring หรือ Talk Therapy EMDR therapy หรือ Brainspotting psychotherapy ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าวิธีไหนเหมาะสำหรับการรักษาผู้ป่วยท่านนั้นที่สุด นักจิตวิทยาอาจใช้วิธีผสมผสาน หรือ เลือกใช้แบบใดแบบหนึ่งตามความเหมาะสม
นอกจากนี้ยังมีเทคนิคทางจิตวิทยาอีกหลายเทคนิคที่ไม่ได้กล่าวถึงซึ่งนักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญอาจให้คำแนะนำผู้มารับการรักษาหลังผ่านการพูดคุยเพื่อประเมินอาการเบื้องต้นถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแบบนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก
การรักษาอาจเชื่อมโยงไปถึงการประเมินด้านสังคม ครอบครัว โรงเรียนและที่บ้านอาจเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้
อย่างไรก็ตามหากโรควิตกกังวล เกิดจากปัญหาสุขภาพร่างกาย เช่น เบาหวาน ภูมิแพ้ การพบแพทย์เพื่อรับยาก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่
อย่างไรก็ดีคำแนะนำด้านล่างเป็นวิธีเบื้องต้นเพื่อนำไปปฎิบัติเองได้แบบง่ายๆเพื่อลดอาการวิตกกังวลก่อนมาพบผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาโดยทำตาม 6 ขั้นตอนดังนี้
6 ขั้นตอนเบื้องต้นเพื่อช่วยลดอาการวิตกกังวล
1. ฝึกสมองไม่ให้คิดในแง่ร้ายเกินความเป็นจริง
2. บันทึกว่าอะไรคือสถานการณ์แย่ที่สุดที่เราคิดไว้ และอะไรที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และความเป็นจริงที่สุดที่จะเกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร
3. ติดตามผลของความคิดที่มักถูกต้อง เพื่อประโยชน์ในการใช้แก้ปัญหา
4. เปรียบเทียบผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงกับสิ่งที่ตัวเองคิดกังวลว่ามีประโยชน์อย่างไร
5. ประเมินหลักฐานที่ได้จริงกับความคิดของตัวเอง
6. หมั่นทำสมาธิ มีสติอยู่เสมอ
7. พูดคุยกับตัวเอง ให้กำลังใจตัวเองแม้เกิดสถานการณ์แย่
วิธีเบื้องต้นนี้อาจพอช่วยลดความวิตกกังวลได้หากเรามีปัญหาในระดับที่ควบคุมได้ แต่อย่างไรก็ตาม หากความวิตกกังวล ตื่นตระหนกและหวาดระแวงนี้นำความทุกข์ใจและรบกวนจิตใจในการใช้ชีวิตอาจต้องมาพบนักจิตวิทยาเพื่อการบำบัดรักษาในขั้นต่อไป
อ้างอิง
https://www.aacap.org/aacap/Families_and_Youth/Resource_Centers/Anxiety_Disorder_Resource_Center/Your_Adolescent_Anxiety_and_Avoidant_Disorders.aspx#:~:text=Teenagers%20who%20suffer%20from%20excessive,discomforts%20associated%20with%20pubertal%20changes.
https://evolvetreatment.com/about/modes-of-therapy/
https://www.destinationsforteens.com/adolescent-teen-mental-health-treatment/teenage-anxiet
https://www.psychologytoday.com/us/blog/in-practice/201301/cognitive-restructuring
https://www.mcleanhospital.org/essential/do-you-know-difference-between-panic-and-anxiety