ทำไม Victim Mentality หรือการเชื่อว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อในทุกสถานการณ์ถึงเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ?

247 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ทำไม Victim Mentality หรือการเชื่อว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อในทุกสถานการณ์ถึงเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ?

ทำไม Victim Mentality หรือการเชื่อว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อในทุกสถานการณ์ถึงเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ?

 

 

 

 

 

ดร.มฤษฎ์ แก้วจินดา (Ph.D.)
นักจิตวิทยาการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
EMDR Psychotherapy Supervisor and Brainspotting Psychotherapy Practictioner

 

Victim Mentality บางแห่งจะใช้คำว่า Victim syndrome หรือ Victim complex จัดว่าเป็นความคิดที่เป็นอันตรายต่อการพัฒนาตนเอง ความคิดและความเชื่อนี้เป็นการขัดขวางบุคคลไม่ให้ได้รับการพัฒนา เป็นวังวนของความคิดที่บิดเบือนโลกความป็นจริง นอกจากนั้นคนที่มีลักษณะเป็น Victim Mentality มักกล่าวโทษผู้อื่น หรืออ้างเหตุปัจจัยรอบข้าง แต่ไม่โทษตัวเองเพื่อหลีกหนีความรับผิดชอบจากสิ่งที่เกิดขึ้น ในที่สุดความคิดนี้จะสร้างปัญหา และความเครียด ความวิตกกังวลให้ตนในเวลาต่อมา



คนที่มี victim mentality mindset มักเชื่อว่าเขามักพบเจอแต่เรื่องแย่ๆ และไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามต่อสู้เพราะคิดว่ายังไงเรื่องเลวร้ายก็มักเกิดกับเขาอยู่ดี  victim mentality เป็น mindset ที่ทำให้คนถูกขัง ความคิดถูกตีกรอบ และจะไม่ลองพยายามต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น  พวกเขาเชื่อว่าชีวิตของตนน่าสงสารดูอ่อนแอ โดนทำร้าย และด้อยความสามารถในการต่อสู้ ความยากลำบากในชีวิต และระดับความรุนแรงของเหตุการณ์ที่เผชิญส่งผลต่อความเชื่อนี้ ระดับความสามารถในการจัดการปัญหาและความรับผิดชอบของแต่ละคนก็ส่งผลต่อ ระดับ victim mentality mindset ด้วยเช่นกัน



ทำไมคนมี Victim mindset จึงไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง ?

คนที่มี Victim mentality mindset มักคิดว่าพฤติกรรมกล่าวโทษบางสิ่งบางอย่างอยู่ตลอดเวลาจะเป็นข้ออ้างในการแก้ตัว และไม่ต้องรับผิดชอบในการกระทำที่เกิดขึ้น และมักคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตตนไม่ใช่ความผิดของตน ซึ่งจากการศึกษาค้นพบVictim Mentality Mindset ว่าอาจมีสาเหตุดังนี้

 

  • ใช้เป็นข้ออ้างเพื่อจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบกับชีวิตตัวเอง
  • มีคนอื่นคอยช่วยเหลือแก้ปัญหาให้อยู่ตลอดเวลา
  • การมีพฤติกรรมตกเป็นเหยื่อจะเรียกความสงสารได้ง่ายกว่าการลุกขึ้นมาต่อสู้กับอุปสรรค
  • การตกเป็นเหยื่อได้รับความสนใจจากผู้อื่นมากกว่า
  • เป็นวิธีที่ไม่ต้องใช้ทักษะหรือเรียนรู้การต่อสู้ใดๆ
  • ทำให้ไม่ต้องเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริงเพื่อเลี่ยงความรับผิดชอบ
  • คนรอบข้างจะได้ไม่ต้องมาคาดหวังมาก
  • ทำให้คนอื่นต้องลงมาช่วยเหลือแทนที่จะโกรธ



 

ในความเป็นจริง การตกเป็นเหยื่อหรือ การทำตัวน่าสงสาร และช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อาจเป็นเครื่องมือของคนมี victim mentality ซึ่งถ้าหากเราไม่ระวังหรือไม่แยกแยะให้ดีอาจตกเป็นเป้าหมายของคนมี victim mentality mindsetที่อาจพยายามจะใช้ประโยชน์จากเรา

Victim mentality mindset มักเรียกร้องความเห็นใจ ความสงสารและต้องการให้ผู้อื่นรับผิดชอบในเรื่องของตนเอง   Victim mentality มักต้องการจะพึ่งพิง พึ่งพาอาศัยผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ต้องการให้มีคนเสียสละเพื่อตน รับผิดชอบต่อชีวิตของตน ดังนั้นเราควรเรียนรู้เทคนิควิธีที่จะป้องกันตัวเองจากภัยของคนมีvictim mentalily mindset และหากเราเองมีmindset แบบนี้ควรรีบปรับเปลี่ยนตัวเองด้วยเทคนิควิธีดังนี้


7 เทคนิควิธีในการเอาชนะกับ Victim Mentality Mindset

1. สำรวจตัวเอง

พฤติกรรมใดที่มักทำให้เราเกิดปัญหา เราควรยอมรับมันและปรับปรุงให้ดีขึ้น การสำรวจตัวเองและยอมรับสิ่งที่เราควรปรับปรุงถือเป็นก้าวแรกของการพัฒนาตัวเองในขั้นต่อไป

2. ให้อภัยผู้อื่น

การเก็บความโกรธ เกลียด เจ็บแค้นไว้ในใจเปรียบเหมือนการเก็บพลังงานด้านลบไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ส่งผลต่อความเจ็บป่วยทางใจ ทำให้ใจไม่เป็นอิสระและจิตใจกักขัง

3. ให้อภัยตัวเอง

ความผิดพลาดในอดีต หรือคำนิยามตราหน้าที่คนอื่นเคยเหยียบหยามเรา ควรปลดปล่อยให้อภัยตัวเองและเปลี่ยนคำสบประมาทที่ไม่ดีเหล่านั้นเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาตัวเอง

4. นั่งสมาธิสงบใจและสวดภาวนา

การที่เราทำตัวน่าสงสารหรือตกเป็นเหยื่อเกิดจากภาวะความกลัว การนั่งสมาธิทำใจให้สงบจะช่วยให้เราสามารถสร้างพื้นที่ให้กับตัวเองในการตระหนักถึงความรู้สึกที่มีเกี่ยวกับตัวเอง เป็นการสร้างสมดุลย์พลังงานและโฟกัสกับพลังงานด้านบวกได้ดีมากขึ้น

5. จัดการกับอารมณ์ของตัวเอง

นอกจากการทำสมาธิแล้ว การทำให้อารมณ์ของตัวเองเป็นพลังงานบวกควรหมั่นพัฒนาความคิดที่เป็นบวกด้วยการชื่นชมกับทุกสิ่งที่มีในชีวิต ทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาทั้งดีและร้ายมักสอนอะไรเราบางอย่างเสมอ รวมทั้งควรช่วยเหลือหรือแบ่งปันให้ผู้อื่นเมื่อมีโอกาส

6. คอยเตือนสติตัวเอง

ให้อยู่กับปัจจุบันและทำวันนี้ให้ดีที่สุดเพื่อความก้าวหน้าในอนาคต ให้คุยกับตัวเองเสมอและให้เลือกที่จะก้าวไปข้างหน้าจำไว้ว่าชีวิตและอนาคตเรา เราเป็นคนเลือกเอง อดีตที่ผ่านไปแล้วไม่สามารถกลับมาทำร้ายอะไรเราได้อีกถ้าเราไม่อนุญาต เชื่อมั่นว่าเราเองเป็นคนกำหนดชีวิตและโชคชะตาของเราเอง

7. ลงมือทำ

หากเรากลัวสิ่งใดจงศึกษาสิ่งนั้นให้ดีและลงมือจัดการกับมันเพื่อลดความกลัวและวิตกกังวล  99% ของคนล้มเหลวมักหาข้ออ้างและโทษโน้นโทษนี่ ความสำเร็จเริ่มมาจากความคิด และการตัดสินใจ และลงมือทำมัน ตระหนักถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจะช่วยลดภาวะการตกเป็นเหยื่อในสถานการณ์ต่างๆ ได้ ควรศึกษาและลงมือทำ อนาคตของเราดีได้จากการกระทำของเราเอง

 

 

อย่างไรก็ตามปัญหาและอุปสรรคในชีวิตเป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุกคนต้องเจอ จงยอมรับมันและเผชิญหน้าแก้ไขปัญหาโดยไม่กล่าวโทษสิ่งใดแต่จงเตรียมพร้อมรับมือกับมันและพยายามทำดีและพัฒนาตัวเองต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งหรือล้มเลิกโดยง่ายดาย หากพบว่าการเอาชนะความคิด victim mentality mindset เป็นเรื่องยากลำบากและไม่สามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยตัวเอง ควรปรึกษานักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญเพื่อได้รับการช่วยเหลือด้านการฟื้นฟูจิตใจด้าน resilience รวมทั้งด้าน self-efficacy หรือการมีความเชื่อความศรัธาต่อการเอาชนะอุปสรรคเพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย

 

อ้างอิง
https://www.verywellmind.com/what-is-a-victim-mentality-5120615
https://psychcentral.com/health/what-causes-codependency#traumatic-experiences
https://www.harleytherapy.co.uk/counselling/victim-mentality.htm
https://positivepsychology.com/victim-mentality/

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้